หินปูน เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ ขาดความมั่นใจในการพูดคุยหรือยิ้มให้กับผู้อื่น เพราะปัญหาการเกิดคราบหินปูนส่งผลให้เกิดกลิ่นปากและคราบฟันเหลือง ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราเสียบุคลิกภาพ แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในช่องปากได้เช่นกัน
หินปูน คือคราบสกปรกติดแน่นบนผิวฟันและซอกฟันจนก่อให้เกิดฟันเหลืองได้ เพราะละเลยไม่ดูแลหรือทำความสะอาดไม่ทั่วถึง แต่ฟังดูอาจเป็นแค่ปัญหาเล็ก ๆ ที่แก้ไขได้ง่ายแค่ไปหาทันตแพทย์เมื่อไหร่ก็ได้ที่เราสะดวก อ๊ะ ๆ การคิดแบบนั้นถือว่าประมาทเกินไป เพราะคราบหินปูนอาจเป็นเรื่องสุดหินที่ทำให้สุขภาพช่องปากของคุณมีปัญหาไม่รู้จบได้ ทางที่ดีเรามารู้จักหินปูนให้มากขึ้น แล้วหาวิธีป้องกันร่วมกันเถอะค่ะ
ที่มาของคราบหินปูน
แม้จะแปรงฟันสม่ำเสมอแต่ช่องปากเราก็ยังมีแบคทีเรียอยู่เสมอ ทั้งแบคทีเรียดีและไม่ดี ซึ่งปัญหาช่องปากจะมาจากการที่แบคทีเรียไม่ดีทำปฏิกิริยากับเศษอาหารก่อให้เกิดคราบจุลินทรีย์เกาะฟัน เรียกว่าคราบพลัค และเกิดความเป็นกรดที่ทำลายผิวฟัน ทำให้ฟันผุ เหงืออักเสบ และเมื่อคราบพลัคสะสมมากขึ้น ๆ ก็จะแข็งตัวกลายเป็นหินน้ำลาย หรือที่เราเรียกกันว่าคราบหินปูนนั่นเอง
สาเหตุการเกิดคราบหินปูน
เมื่อเรารับประทานอาหารทุกวัน อาหารเหล่านี้ก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดคราบหินปูน โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาล อาหารประเภทนี้จะยิ่งเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีของแบคทีเรีย ดังนั้นสาเหตุหลักของการเกิดคราบหินปูนก็คือการดูแลสุขภาพของช่องปากที่ไม่ดีพอ นอกเหนือจากนี้พบว่าลักษณะพันธุกรรมการดื่มกาแฟ ชา หรือว่จะเป็นการสูบบุหรี่เป็นประจำก็สามารถทำให้เกิดคราบหินปูนได้เช่นกัน
คราบหินปูนอันตรายต่อร่างกายไหม
หลายๆคนอาจจะคิดว่าการมีคราบหินปูนเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน ปล่อยทิ้งไว้คงไม่เป็นอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วหากละเลยและปล่อยทิ้งไว้ แต่การปล่อยทิ้งไว้อาจจะนำพาโรคปริทน์ที่อันตรายมาสู่เราได้ อย่างเช่น การมีกลิ่นปาก เหงือกอักเสบ หรือว่าเหงือกบวม เป็นหนอง เกิดการฟันผุรากฟันเสื่อมสภาพ หรือถ้าร้ายแรงกว่านั้นมีการลุกลามไปจนเกิดเป็นโรคมะเร็งช่องปากได้
ไม่ต้องขูดหินปูนออกได้ไหม ถ้าไม่ขูดจะเป็นอย่างไร
สามารถที่จะไม่ขูดหินปูนออกได้ แต่ทางที่ดีควรที่ขูดหินปูนเพื่อสุขภาพช่องปากของเรา เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะเกิดการะสมและมีคราบหินปูนเยอะมากขึ้น อีกทั้งเสี่งที่จะเป็นโรคปริทันต์ หรืออาจจะต้องถอนฟันออกเลยก็ได้
ทำความเข้าใจกับการขูดหินปูน
หลายคนเข้าใจผิดว่า การขูดหินปูนคือการใช้เครื่องมือขูดหินปูนออกจากซอกเหงือกและฟันโดยตรง แต่ความจริงไม่ใช่ การขูดหินปูนทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือกระเทาะหินปูนให้ออกจากฟัน โดยไม่สัมผัสกับฟันโดนตรง และหลังขูดหินปูนหลายคนรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างซี่ฟันห่างขึ้นเพราะเครื่องมือขูดหินปูน แต่ความจริงแล้ว ระยะห่างระหว่างซี่ฟันเกิดจากคราบหินปูนที่เกาะอยู่ถูกกระเทาะหลุดไปต่างหาก
ขูดหินปูนแล้วดีอย่างไร
- ช่วยลดการเกิดโรคปริทันต์ได้ อย่างเช่น โรคเหงือกบวกแดง เหงือกอักเสบ เป็นหนอง เหงือกร่น ฟันผุ รากอักเสบ
- ทำให้มั่นใจเวลายิ้มหรือพูดคุยกะคนอื่น ทำให้มีบุคลิกภาพที่ดี
- ฟันขาวใส ไม่ม่คราบเหลือง
- ลดการเกิดของคราบหินปูน
- ยืดระยะเวลาอายุของฟันเพื่อที่จะได้อยูกับเรานานขึ้น
ขูดหินปูนบ่อยๆ จะมีผลกระทบต่อฟันหรือไม่
การขูดหินปูนคือการที่ใช้เครื่องที่มีความถี่ในการสั่นของเครื่องเคาะ เพื่อทำการกะเทาะเพื่อให้หินปูนแตก และร่อนออกมาเป็นแผ่นๆ ไม่ใช่เป็นการไปขูดหรือกรอฟัน ดังนั้นการขูดหินปูนจะไม่ได้สัมผัสกับพื้นผิวของฟันเรา จึงไม่ได้ทำให้ฟันกร่อนหรือทำให้ฟันบางลง หรือฟันห่างแต่อย่างใด แต่จะมีความรู้สึกเมื่อขูดหินปูนเสร็จแล้วรู้สึกว่าร่องฟันสะอาดมากขึ้น ไม่ถูกเกาะด้วยคราบของหินปูน เมื่อเราเอาลิ้นแตะๆที่ร่องฟันจะสามารถสัมผัสกับร่องฟันแต่ละซี่ได้ เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนฟันของเราบางลง ฟันสึกกร่อน หรือว่า ฟันห่างมากขึ้นหลังจากที่ได้ไปขูดมาแล้ว หรือในบางครั้งอาจจะมีความรู้สึกเสียวฟัน อาจจะมีอาการเจ็บเหงือกบ้างบางครั้ง แต่การดูแลรักษาความสะอาดทำความสะอาดฟันที่ถูกต้องจะทำให้อาการเหล่านี้หายไปได้
วิธีป้องกันการเกิดหินปูน
หินปูนนอกจากส่งผลทำให้เหงือกและฟันเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย และก่อให้เกิดโรคอีกมากมาย ฉะนั้นเราควรป้องกันการเกิดคราบพลัค และ หินปูนให้ดีที่สุด ตามวิธีดังต่อไปนี้
- ดื่มน้ำให้พอเพียง
การดื่มน้ำให้พอเพียง อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เป็นสิ่งที่คนสายรักสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพฟันต้องให้ได้ เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มน้ำลายในการเคลือบฟัน ลดแบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรค เป็นต้น
2. แปรงฟันให้สะอาดอยู่เสมอ
แปรงฟันให้ฟันขาวสะอาด ต้องแปรงวันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย ด้วยแปรงสีฟันที่เหมาะสม และแปรงอย่างถูกวิธีด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุ และมีประสิทธิภาพขจัดคราบพลัคได้
แปรงฟันอย่างไรให้ถูกวิธี ?
- บีบยาสีฟันเพียงเล็กน้อย บีบลงบนขนแปรง สักประมาณขนาดเม็ดถั่ว ถ้าบีบเยอะเกินไป อาจส่งผลให้เกิดฟองสบู่มากเกินไป จนทำให้ต้องบ้วนออกบ่อยและเลิกแปรงเร็วกว่าที่ควร นอกจากนี้ มันยังเพิ่มโอกาสในการที่เราจะกลืนยาสีฟันฟลูออไรด์ลงไปด้วย ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากเรารู้สึกเจ็บหรือว่าเสียวฟัน พยายามเปลี่ยนมาแปรงแบบปัดขึ้นลงๆอย่างเดียว หรือไม่ก็เปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันสูตรที่อ่อนโยน
- วางขนแปรงให้ทำมุม 45 องศากับแนวเหงือก แปรงเบาๆ ด้วยการวนเป็นวงกลม หรือขึ้นๆ ลงๆ แบบสั้นๆ อย่าแปรง แนวขวาง กับฟัน
- ใช้เวลาอย่างน้อย 3 นาทีในการแปรงฟัน ปัดขนแปรงให้ครอบคลุมฟันประมาณ 2-3 ซี่ในแต่ละครั้ง โดยทำเแบบนี้ไปเรื่อยๆ วนเป็นวงกลม เพื่อให้ทั่วถึงฟันทุกซี่ โดยใช้เวลาประมาณ 12-15 วินาที ในแต่ละจุด ถ้าอยากจะช่วยให้จำง่ายๆ ก็แบ่งช่องปากออกเป็นสี่ส่วน ซ้ายบน ขวาบน ซ้ายล่าง และขวาล่าง หากใช้เวลา 30 วินาทีในแต่ละส่วน เราจะสามารถจบการแปรงฟันในขั้นตอนนี้ ได้ภายในสองนาทีเต็ม โดยเริ่มจากผิวฟันด้านนอกของมุมซ้ายล่าง ไปจนถึงมุมขวาล่าง จากนั้นแปรงผิวฟันด้านนอกของฟันมุมขวาบน ไล่ไปจนถึงมุมซ้ายบน และวนกลับมา โดยเปลี่ยนเป็น เริ่มจากผิวฟันด้านในของมุมซ้ายบน ไปจนถึงมุมขวาบน จากนั้นก็ต่อด้วย ผิวฟันด้านในของฟันมุมขวาล่าง ไล่ไปจนถึงมุมซ้ายล่าง
- แปรงฟันกราม วางแนวแปรงสีฟันให้ทำมุมฉากกับริมฝีปาก หรือให้ขนแปรงนาบบนผิวหน้าของฟันกรามล่าง แปรงด้วยจังหวะชักเข้าชักออก ขยับจากด้านในออกมาด้านนอก ทำแบบเดียวกันนี้กับฟันกรามล่างอีกข้างหนึ่งด้วย เมื่อเสร็จจากฟันกรามล่างแล้ว หันขนแปรงขึ้นไปนาบกับผิวหน้าของฟันกรามบนบ้าง
- แปรงผิวฝันด้านใน วางแนวแปรงให้หัวแปรงชี้ที่แนวเหงือก และแปรงฟันแต่ละซี่ ทันตแพทย์ให้ความเห็นว่า บริเวณที่เราลืมแปรงมากที่สุด ก็คือ ผิวฟันด้านในของฟันล่าง ดังนั้นอย่าลืมที่จะแปรงส่วนนั้นด้วย
- แปรงลิ้นเบาๆ หลังจากที่แปรงฟันจนสะอาดแล้ว ก็ให้ใช้ขนแปรงค่อยๆ แปรงทำความสะอาดลิ้นเบาๆ หากกดแรงไป จะไปทำลายเยื่อบุของลิ้นได้ การแปรงลิ้นจะช่วยกำจัดกลิ่นปากและแบคทีเรียออกไปจากลิ้น
3. ดูแลแปรงสีฟันให้ดี
หลังแปรงฟันเราควรล้างแปรงสีฟันให้สะอาด เปิดก็อกน้ำใส่หัวแปรงหรือขนแปรง ล้างให้สะอาดเพื่อกำจัดแบคทีเรียออกไป จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า จุลินทรีย์นับพัน เห็นขนแปรงและด้ามจับแปรงสีฟัน เป็นเสมือนบ้านของมันและสามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ หากล้างไม่สะอาดก็จะเหมือนเป็นการเอาแบคทีเรียกลับเข้ามาในปากในการแปรงครั้งถัดไป จากนั้นตั้งทิ้งไว้ให้แห้งสนิท วางมันในแนวตั้ง อย่าปิดครอบเอาไว้ เพื่อปล่อยให้มันได้แห้ง ไม่งั้นแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีได้ อย่าเก็บแปรงสีฟันไว้รวมกับคนอื่นเพราะอาจปนเปื้อนเชื้อโรค และอย่าเก็บในที่ปิดที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก แล้วอย่าลืมเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน
4. เลือกยาสีฟันสูตรฟลูออไรด์
ยาสีฟันที่เป็นสูตรฟลูออไรด์มันไม่เพียงช่วยขจัดคราบจุลินทรีย์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เคลือบฟันแข็งแรงขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี มันสำคัญมากที่จะต้องจำไว้ว่า ห้าม กลืนยาสีฟันฟลูออไรด์ เพราะหากกินเข้าไปเยอะเกินอาจทำให้มีผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพได้อีกด้วย ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์จะช่วยป้องกันฟันผุ ดูแลผิวฟันไม่ให้ถูกทำลาย และบางสูตรยังผสมสารไตรโคลซานที่ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียในคราบพลัคได้
5. ใช้ไหมขัดฟันสม่ำเสมอเหมือนแปรงฟัน
การขัดฟัน ก็มีสำคัญพอๆ กับการแปรงฟัน เพราะจะช่วยขจัดคราบจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และเศษอาหารที่ติดตามซอกฟันและเหงือก ในบริเวณที่ขนแปรงชอนไชเข้าไปไม่ได้ เราควรใช้ไหมขัดฟันทุกครั้ง ก่อน การแปรงฟัน เพื่อที่เศษอาหารและแบคทีเรียที่อ่อนตัวหรือเกือบหลุดออกมาจากการขัดฟัน จะได้ไม่ค้างอยู่ในปากในจุดที่ทำความสะอาดยาก เราควรใช้ไหมขัดฟันช่วยขจัดเศษอาหารและคราบพลัคที่ติดอยู่ ซึ่งวิธีใช้ไหมขัดฟันที่ถูกคือ ดึงไหมขัดฟันออกมาประมาณ 45 เซนติเมตร แล้วใช้ปลายไหมพันปลายนิ้วกลางของทั้งสองมือไว้ เอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้ดึงไหมขัดฟันให้ตึง ให้เส้นไหมทำความสะอาดซอกฟันได้เต็มที่ด้วยการขัดขึ้นลงและตีวงโค้งคล้ายตัวซีอย่างนุ่มนวล ควรขัดฟันอย่างเบามือ อย่ากระชากไหมขัดฟันไปมาระหว่างซอกฟัน เพราะมันอาจจะทำให้เราระคายเคืองเหงือกได้ พยายามค่อยๆรูดลงช้าๆ เบาๆ ไปตามรอยโค้งของฟันแต่ละซี่ ทำไปทีละซี่จนครบแล้วบ้วนปากเป็นอันเสร็จ
หากรู้สึกว่าการใช้ไหมขัดฟันมันลำบาก หรือกำลังจัดฟันอยู่ ก็อาจจะใช้ไม้จิ้มฟันแทนหรือจะเป็นแบบไม้หรือแบบพลาสติกก็ได้ ที่สามารถนำมาแซะไปตามร่องฟัน และสามารถใช้ได้ผลเหมือนกับไหมขัดฟัน หากซอกฟันมีช่องว่างพอประมาณ
6. SAY NO บุหรี่
เป็นที่รู้กันว่าบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ในส่วนของช่องปากบุหรี่จะมีสารที่เร่งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และในญี่ปุ่นมการวิจัยพบว่าบุหรี่ทำให้ฟันเหลืองได้ง่าย และเพิ่มโอกาสเกิดหินปูนได้สูงกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ ฉะนั้นอยากฟันขาว ไร้หินปูน ต้อง SAY NO บุหรี่
7. ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
ระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เพราะว่าแบคทีเรียในช่องปากชอบน้ำตาลและแป้ง ถ้ารับประทานมากไปจะเร่งการเกิดคราบพลัคและหินปูน เพราะน้ำตาลที่เหลือในช่องปากจะถูกแบคทีเรียใช้สร้างกรด ทำให้ผิวฟันสึกกร่อน ฉะนั้นควรลดอาหารประเภทนี้ และหลังรับประทานควรบ้วนปากหรือแปรงฟันทุกครั้ง
8. หาตัวช่วยอย่างน้ำยาบ้วนปาก และหมากฝรั่ง
น้ำยาบ้วนปาก และหมากฝรั่งที่ปราศจากน้ำตาล และมีส่วนผสมของซอร์บิทอลหรือไซลิทอล ถือเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำความสะอาดช่องปาก ลดคราบพลัคและหินปูนได้ วิธีการบ้วนปากในแต่ละครั้ง ควรอมน้ำยาบ้านปากแต่พอประมาณ กลั้วให้ทั่วช่องปากโดยใช้เวลาประมาณ 30 วินาที และทำการบ้วนออกมา พยายามอย่าลืมน้ำยาบ้วนปากลงไป
9. พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
นอกจากดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตัวเองแล้ว ควรให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันตแพทย์มาชชช่วยดูแลด้วย ไปตรวจฟันทุก 6 เดือน เพื่อขูดหินปูน เคลือบฟัน แล้วตรวจหาความผิดปกติอย่างอื่นถ้ามีจะได้รักษาแต่เนิ่น ๆ
วิธีที่สามารถขจัดหินปูนออกไปเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง นอกเหนือจากการไปพบแพทย์
- การเคี้ยวงา เพราะว่าคุณประโยชน์ของงาเยอะ โดยเพียงแค่เคี้ยวงาเปล่าๆโดยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แต่ไม่ต้องกลืนแค่เคี้ยวจนละเอียดแล้วจึงคลายออก หลังจากนั้นใช้แปรงเปล่าๆ ถูฟันให้ทั่ว แล้วล้างปากให้สะอาด ก็จะสามารถลดคราบหินปูนลงได้
- นำเปลือกส้มมาถูที่บริเวณฟัน เพราะว่าสรรพคุณของส้มจะมีวิตามินซีที่ช่วยเรื่องพิวพรรณและยังสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย โดยนำเปลือกส้มมาถูๆฟัน เพื่อสามารถลดจุลินทรีย์ที่มีอยู่บนเปลือกฟันได้ สามารถใช้ส้มได้ทุกชนิด
- การรับประทานแอปเปิ้ล เพราะสรรพคุณของแอปเปิ้ลสามารถช่วยทำความสะอาดฟันได้ และยังช่วยให้สุขภาพเหงือกแข็งแรง ลดโอกาสเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย
- เบกกกิ้งโซดา สามารถทำได้โดยใช้แปรงสีฟันหมาดๆ จุ่มใส่เบกกิ้งโซดาแล้วนำไปแปรงฟันปกติ อค่นี้ก็จะสามารถช่วยทำให้ลดคราบหินปูนลงไปได้
การขูดหินปูน เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถทำเองได้ ต้องให้ทันตแพทย์ช่วยรักษาจึงปลอดภัย แต่การขจัดหินปูนและการป้องกันไม่ให้เกิดหินปูนเราสามารถทำด้วยตัวเองได้ ฉะนั้นลงมือป้องกันเพื่อให้ฟันขาว เหงือกสดใสของเราจะได้ห่างไกลหินปูนกันเถอะค่ะ