ปรับพฤติกรรมเป็นคนใหม่ เพื่อชีวิตดีที่ดีขึ้นกันเถอะ

ปรับพฤติกรรมเป็นคนใหม่ เพื่อชีวิตดีที่ดีขึ้นกันเถอะ

 

 

            สวัสดีปีใหม่ 2565 ชาว Linee  ค่ะ เริ่มปีใหม่มาได้หลายวันแล้ว  มีความตั้งใจจะทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อให้ชีวิตใหม่ในปีนี้ดีขึ้นกันบ้างหรือยังคะ   ถ้ายังสองจิตสองใจหรือไม่แน่ใจ  ลองปรับพฤติกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นกันไหมคะ  อะไรควรทำ อะไรควรเลี่ยง  เรามีเคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำกันค่ะ

 

 

DO

 

  1. ให้ความสำคัญกับ “3 เช้า”

 

ตื่นเช้า  ทำให้มีเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ทำให้มีเวลามากขึ้นในการดูแลตัวเองก่อนไปทำงานโดยไม่รีบลุกลน  มีเวลาบริหารร่างกาย 10 – 15 นาที หลังตื่นนอนเพื่อความสดชื่น และสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น  และช่วยให้สมองสดชื่น ร่างกายมีสมดุล อีกด้วย

 

 

มื้อเช้า ด้วยกิจวัตรประจำวันคนยุคใหม่ ทำให้การกินอาหารมื้อเช้าเป็นเรื่องยาก และขาดคุณภาพ  เพราะเวลาและการเดินทางไปทำงานเป็นตัวบีบบังคับให้ต้องเร่งรีบไปซะทุกอย่าง  แต่ถ้าเราลองพยามใส่ใจกับอาหารมื้อเช้ามากขึ้น จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานที่พร้อมสำหรับทำกิจกรรมทั้งวัน  ระบบเผาผลาญมีประสิทธิภาพ  ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

 

 

แดดเช้า การรับแสงแดดยามเช้าในช่วงก่อน 9 โมงเช้าเพียงวันละ 10 – 15 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย เพราะช่วยให้เราได้รับวิตามินอี  ส่งผลดีต่อกระดูกและฟัน  รวมทั้งเป็นเวลาที่ไม่มีรังสีอุลตราไวโอเลตในปริมาณที่ทำให้เสี่ยงต่อโรงมะเร็งผิวหนังด้วย

 

         

  1. ตั้งนาฬิกาชีวิต

          ร่างกายคนเรามีสิ่งที่เรียกว่า นาฬิกาชีวภาพ  (Biological Clock) หรือ นาฬิกาชีวิต (Body Clock)  มันคือวงจรการทำงานของร่างกายตั้งแต่การตื่น การกิน การนอน  การออกกำลังกาย ที่ช่วยควบคุมดูแลระบบต่าง ๆ เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน  การผลิตฮอร์โมน  ระบบเผาผลาญของร่างกาย  การทำงานของสมอง ฯลฯ  ถ้าตั้งนาฬิกาชีวิตดี  ย่อมมีประโยชน์ต่อร่างกาย และจิตใจ  ฉะนั้นเราควรตั้งนาฬิกาชีวิตตัวเองให้ดี ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  และแบ่งเวลาออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

           

 

  1. ช่างเลือก แต่ไม่เรื่องมาก

          การเป็นคนง่าย ๆ ไม่เรื่องมากอาจทำให้ชีวิตมีเครียดน้อยลง แต่เกี่ยวกับอาหารการกิน  เราควร ช่างเลือก เพื่อสุขภาพ  รู้จักเลือกรับประทานอาหารดีมีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยไม่จำเป็นต้องเรื่องมากรับประทานแต่อาหารราคาแพง  หรือของหายากที่แปะป้ายว่าเพื่อสุขภาพ  เพราะความจริงแล้วอาหารที่ดีต่อสุขภาพมีอยู่รอบตัวเรา ขอเพียงรู้จักเลือกสักนิด  เน้นให้ถูกสุขอนามัยสักหน่อย ก็ช่วยให้สุขภาพร่างกาย สุขภาพช่องปากแข็งแรงขึ้นแน่นอน

 

 

  1. รักตัวเอง

          รักตัวเองในที่นี้คือ การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้สุขภาพร่างกายตัวเองทรุด และทำให้จิตใจเกิดภาวะตึงเครียด ดังนี้

 

 

4.1 ชอบของหวานได้ แต่อย่าติดหวาน  เพราะแม้การรับประทานของหวานจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน  ทำให้มีความสุข ลดความเครียดได้  แต่ถ้ามากเกินไปนอกจากส่งผลเสียทำให้น้ำหนักขึ้น กระดูกและฟันไม่แข็งแรง  ฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่าย  เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดัน  หัวใจ และอีกสารพัดโรค

 

 

4.2  ลดการดื่ม ชา กาแฟ เพราะแม้ว่าคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะจะส่งผลดีต่อร่างกาย กระตุ้นสมอง แต่ถ้ามากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการนอน  ระบบไหลเวียนโลหิตกับระบบทางเดินอาหารได้รับผลกระทบจากสารอะดรีนาลีน และความเป็นกรดที่เกิดจากคาเฟอีน  มีปัญหาฟันเหลือง ฟันผุ และคราบหินปูน   รวมถึงทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ หรือร่างกายเกิดภาวะเป็นพิษเฉียบพลันได้

 

 

4.3 ออกกำลังกายให้เป็น ปัจจุบันทางเลือกในการออกกำลังกายมีมากขึ้น  มีเป็นคลิปแนะนำการออกกำลังกายทางสื่อต่าง ๆ มากมาย แบบที่ใช้อุปกรณ์ใกล้ตัว  และไม่เปลืองเวลามาก  ก็สามารถออกกำลังกายได้โดยไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนส หรือใช้เครื่องออกกำลังกายราคาแพง  ขอเพียงรู้จักหาข้อมูล ออกกำลังกายให้เป็น  ให้เหมาะกับร่างกายตัวเอง วันละนิดวันละหน่อย โดยไม่กดดันตัวเอง  ก็เพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกายได้แล้ว

 

 

 

4.4 ทางสายกลาง การดูแลตัวเองควรเป็นเรื่องที่ไม่ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป เพราะการดูแลตัวเองโดยเข้มงวดเกินไปจนเกิดความเครียดและกระทบต่อการใช้ชีวิต แต่ขณะเดียวกันการรักตัวเองไม่ได้หมายถึงการตามใจตัวเองเกินไป เช่น การตามใจปาก   ผัดวันประกันพรุ่งในการออกกำลังกาย  คิดนะนอนเมื่อไหร่ ตื่นเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นโดยไม่ใส่ใจสุขภาพ  แบบนี้เรียกว่าทำร้ายตัวเองมากกว่าค่ะ   

 

 

4.5 กอดตัวเองให้เป็น  กอดตัวเองให้เป็นคือ การรู้จัดดูใจความรู้สึกตัวเอง ปลอบโยนตัวเองยามเมื่อมีความทุกข์ และความเครียด  รู้จักให้กำลังใจตัวเองยามท้อแท้ หรือมีมีปัญหา  มีสติในการใช้ชีวิต ระลึกไว้เสมอว่า  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน  ไม่มีใครรักและให้กำลังใจตัวเราเองได้ดีที่สุดเท่าตัวเราแล้วล่ะ

 

 

  1. รู้จักใช้โซเชียล แต่อย่าติดโซเชียล

          เป็นไปได้ยากที่เราจะใช้ชีวิตโดยปราศจาก โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ในโลกที่กำลังก้าวสู่ยุค เมตาเวิร์ส (Metaverse) หรือ โลกเสมือนจริง  แต่ถ้ารักตัวเองจริง ควรเริ่มมีสติในการใช้โซเชียล  เพราะโลกโซเชียลคือคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือเรา  แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยเฟกนิวส์  ทำให้เกิดพฤติกรรมติดโซเชียล  ประสิทธิภาพการเรียน  การทำงานลดลง  เสี่ยงต่อภาวะอารมณ์แปรปรวน  และโรคซึมเศร้าได้ง่าย  ซึ่งวิธีที่ดีสำหรับชาวโซเชียล

 

 

          ควรทำ โซเชียลดีท็อกซ์ (Social Detox) เพื่อช่วยบำบัดพฤติกรรมเสพติดโซเชียลมากเกินไป  โดยวิธีทำโซเชียลดีท็อกซ์มีหลายวิธีให้ลองทำ เช่น

         

  • ลดการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นโซเชียลต่าง ๆ

 

 

 

  • พยายามหากิจกรรมอย่างอื่นทำแล้ววางโทรศัพท์ไว้ให้ห่างตัว ห่างสายตา

 

 

  • กำหนดเวลาเล่นโซเชียลของตัวเอง และทำอย่างมีวินัย เช่น เล่นได้ครั้งละไม่เกินครึ่งชั่วโมง และใน 1 วันควรเล่นได้กี่ครั้ง เพื่อลดความถี่และเวลาในการใช้งานโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ

  

 

  • หยุดเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนครึ่งชั่วโมง – 1 ชั่วโมง เพื่อให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย  ส่งผลดีทำให้การนอนมีคุณภาพมากขึ้นด้วย

 

 

  • ตั้งกฎงดเล่นโซเชียลฯ สัปดาห์ละ 1 วัน หันมาให้เวลาดูตัวเอง และทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนฝูง และคนในครอบครัว

 

 

 

DON’T

 

  1. นอนดึก ตื่นสาย

            ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน  การแพทย์แบบใดก็มีผลวิจัยไม่ต่างกันว่า  การนอนดีก ตื่นสาย คือพฤติกรรมทำลายสุขภาพอย่างแท้จริง มีผลเสียทำให้เสี่ยงต่อโรคร้ายมากมาย เช่น ปวดหัว  ไมเกรน  โรคหัวใจ  โรคเบาหวาน  โรคอ้วน  โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ  ฉะนั้นเลี่ยงได้ควรเลี่ยง อย่าทำ!

 

 

 

  1. ท้าทายแสงแดด

          นอกจากแดดก่อนเวลา 9 โมงเช้า  การออกไปท้าทายแดดในเวลาอื่นล้วนส่งผลเสียต่อร่างกาย  ทำให้เกิดฝ้า กระ และริ้วรอย  ผิวลอกไหม้ เสี่ยงต่ออาการฮีทสโตรก  มะเร็งผิวหนัง  และดวงตาเป็นต้อลม  แม้ว่าการทาครีมกันแดดที่มี SPF สูง ๆ จะช่วยลดผลเสียจากแสงแดดร้อนแรงได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด  รวมทั้งครีมกันแดดส่วนใหญ่ยังเป็นสารเคมีที่ทำให้ผิวหนังและร่างกายเกิดการระคายเคืองได้อีกด้วย

 

 

  1. ไม่ป่วยไม่ไปหาหมอ

          ใครที่เป็นโรคกลัวหมอ  ไม่ป่วยหนักไม่อยากเจอหน้าหมอ ขอให้คิดใหม่  การไปหาหมอก่อนป่วย เช่น การไปตรวจร่างกายประจำปี  ฉีดวัคซีน  พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน ฯลฯ  เป็นเรื่องจำเป็นต่อการป้องกันอาการป่วยและดูแลสุขภาพในระยะยาว  ซึ่งถ้าดูแลสุขภาพดี ไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยความเสี่ยงที่ทำให้ป่วยจนต้องไปหาหมอบ่อย ๆ ในอนาคตได้ยังไงล่ะ

 

 

  1. กินยาเหมือนกินขนม

          เมื่อมีอาการป่วย  หลายคนเลือกจะซื้อยากินเอง  โดยไม่ไปหาหมอหรือแม้แต่ปรึกษาเภสัชกร ซึ่งอาจส่งผลต่อร่างกายอย่างคาดไม่ถึง  เพราะยาที่กินอาจมีสเตียรอยด์  มีตัวยาซ้ำซ้อน ทำให้เกิดอาการแพ้ได้  โดยเฉพาะถ้าเป็นยาปฏิชีวนะ ถ้าได้ปริมาณยาน้อยเกินไป อาจเกิดการดื้อยาอีกด้วย หรือแม้กระทั่งกรณีที่ไปหาหมอแล้วรับยามา ก็ไม่ควรหยุดยาเอง  สับเปลี่ยนยา หรือกินยาเกินหมอสั่ง เพราะยาไม่ใช่ขนม  ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการกินยา

 

 

  1. หลงลืมดูแลฟัน

          นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไปแล้ว สิ่งที่คนมักทำได้ไม่สม่ำเสมอคือ  การดูแลสุขภาพปากและฟัน  หรือดูแลแบบไม่จริงจัง เช่น การแปรงฟันที่ถูกต้องควรใช้เวลา 2 – 3 นาที ให้ทั่วปาก แต่ในความเป็นจริงเรามักรีบแปรงให้เสร็จ ๆ หรือบางทีก็ลืมแปรงฟัน โดยเฉพาะการแปรงฟันก่อนนอนเป็นต้น  ถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้มีสุขภาพช่องปากแข็งแรง ห่างไกลฟันเหลือง ลดความเสี่ยงฟันผุ และโรคเหงือก ควรมีวินัยในการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างจริงจัง  เพื่อเราจะได้มีฟันขาวแข็งแรงเอาไว้เคี้ยวของอร่อย ๆ กันได้นาน ๆ

 

 

 

          อ่านเคล็ดลับที่แนะนำกันไป  ไม่ว่าจะเรื่อง “Do” สิ่งที่ควรทำ และ  “ Don’t”  สิ่งที่ควรเลี่ยง  แม้ทำไม่ได้หมด แต่ลองเลือกมาลองทำสักครึ่งหนึ่ง  รับรองว่า ชีวิตที่ดีขึ้นอยู่ไม่ไกลแน่นอนค่ะ

 

 

 

 

 

กลับไปยังบล็อก